แบบทดสอบกลางภาค1/60

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1

...คอมพิวเตอร์ยุค หลอดสูญญากาศ อิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์เครื่องแรกมีรูปร่างอย่างไร ความคิดฝันของชาลส์ แบบเบจ กลายเป็นความจริงในเวลา 70 ปี หลังจากที่เขาสิ้นชีวิตลง เมื่อนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์ดวาร์ด ชื่อ โฮเวิร์ด ไอเคน เริ่มสร้างเครื่องคำนวณชื่อ มาร์ค-วัน (Mark I) ในปี ค.ศ. 1941 ซึ่งใช้กลุ่มของรีเลย์เครื่องกลไฟฟ้า ทำหน้าที่เป็นสวิตซ์เปิดและปิด เครื่องมาร์ค-วัน มีขนาดกว้าง 2.4 เมตร ยาว 15.2 เมตร สามารถบวกและลบ 3 ครั้งหรือคูณ 1 ครั้ง เสร็จใน 1 วินาที และใช้เวลาเพียง 1 วันสำหรับแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ที่คนหนึ่งคนสามารถทำได้ด้วยเครื่องบวกเลขในเวลาถึง 6 เดือน แต่ในเวลาไม่นานมาร์ค-วัน ก็ถูกแซงขึ้นหน้าโดยเครื่องเอ็นนีแอค (ENIAC)
ซึ่งใช้หลอดสุญญากาศแทนสวิตซ์ เจ.พี.เอ็คเคริด และจอนห์น มอชลี แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียได้เปิดเผยโฉมหน้าของอิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ค.ศ. 1946 เครื่องนี้สามารถคำนวณได้เร็วกว่าเครื่องจักรทุกรุ่นที่สร้างขึ้นก่อนหน้านั้นถึง 1,000 เท่า โดยการบวกและลบ 5,000 ครั้ง คูณ 350 ครั้ง หรือหาร 50 ครั้งต่อหนึ่งวินาที แต่ขนาดของเครื่องก็ใหญ่ประมาณสองเท่าของเครื่องมาร์ค-วัน ปรรจุเต็มตู้ 40 ตู้ ด้วยชิ้นส่วนถึง 100,000 ชิ้น ซึ่งรวมถึงหลอดสูญญากาศประมาณ 17,000 หลอด มีน้ำหนัก 27 ตัน ขนาดกว่าง 5.5 เมตร ยาว 24.4 เมตร
...ในปี ค.ศ. 1943 วิศวกรสองคน คือ จอห์น มอชลี (John Mouchly) และ เจ เพรสเปอร์ เอ็ดเคิร์ท (J.Presper Eckert) ได้พัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ และจัดได้ว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานทั่วไปเครื่องแรกของโลก ชื่อว่า อินิแอค (Electronic Numerical Intergrator And Calculator : ENIAC)( อีนิแอค )
...ในปี ค.ศ. 1945 จอห์น วอน นอยแมน (John Von Neumann) ได้เสนอแนวคิดและพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีหน่วยความจำ เพื่อใช้เก็บข้อมูลและสามารถเก็บโปรแกรมคำสั่งได้ ซึ่งถือเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ คือเครื่อง EDVAC คอมพิวเตอร์จะทำงานโดยเรียกชุดคำสั่งที่เก็บไว้ในหน่วยความจำมาทำงาน หลักการนี้เป็นหลักการที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2

...คอมพิวเตอร์ยุคทรานซิสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ขององปฏิบัติการเบลแห่งสหรัฐอเมริกา ได้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์สำเร็จ ซึ่งมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการสร้างคอมพิวเตอร์ เพราะทรานซิสเตอร์มีขนาดเล็กใช้กระแสไฟฟ้าน้อย มีความคงทนและเชื่อถือได้สูง และราคาถูก คอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ จะมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจำ มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้ เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้ได้มีการพัฒนาและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน ได้มีการผลิตคอมพิวเตอร์เรียกว่าเมนเฟรม
คอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ สำหรับประเทศไทยมีการนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ในยุคนี้ ค.ศ. 1964 โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนำเข้ามาใช้ในการศึกษา ในระยะเวลาเดียวกันสำนักงานสถิติแห่งชาติก็นำมาเพื่อใช้ในการคำนวณสำมะโนประชากร นับเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่ใช้ในประเทศไทย

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3

...คอมพิวเตอร์ยุควงจรรวม ประมาณปี ค.ศ. 1965 ได้ มีการพัฒนาสร้างทรานซิสเตอร์จำนวนมากลงบนแผ่นซิลิกอนขนาดเล็ก และเกิดวงจรรวมบนแผ่นซิลิกอนที่เรียกว่า ไอซี การใช้ไอซีเป็นส่วนประกอบทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง ราคาถูกลง จึงมีบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์กันมากขึ้น คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กลง เรียกว่า "มินิคอมพิวเตอร์"ดังนั้นคอมพิวเตอรใน์ยุคที่สาม เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมาย ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสร้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆ ในการกำหนดชุดคำสั่งต่าง ๆ ทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มีความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทำงานให้กับงานหลาย ๆ อย่าง

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4

...คอมพิวเตอร์ยุควีแอลเอสไอ เทคโนโลยีทางด้านการผลิตวงจรอิเล็กทรอนิคส์ยังคงพัฒนา อย่างต่อเนื่อง มีการสร้างวงจรรวมที่มีขนาดใหญ่มารวมในแผ่นซิลิกอน เรียกว่า วีแอลเอสไอ (Very Large Scale Intergrated circuit : VLSI)
เป็นวงจรรวมที่รวมเอาทรานซิสเตอร์จำนวนล้านตัวมารวมอยู่ในแผ่นซิลิกอนขนาดเล็ก และผลิตเป็นหน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน เรียกว่า ไมโครโปรเซสเซอร์ (microprocessor) การใช้ VLSI เป็นวงจรภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์สูงขึ้น เรียกว่า ไมโครคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องที่แพร่หลายและมีผู้ใช้งานกันทั่วโลก การที่คอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถสูง เพราะ VLSI เพียงชิพเดียวสามารถสร้างเป็นหน่วยประมวลผลของเครื่องทั้งระบบหรือเป็นหน่วยความจำที่มีความจุสูงหรือเป็นอุปกรณ์ควบคุมการทำงาน
ต่าง ๆ ขณะเดียวกันพัฒนาของฮาร์ดดิสก์ก็มีขนาดเล็กลงแต่ราคาถูกลง เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์จึงมีขนาดเล็กลงปาล์มท็อป (palm top) โน็ตบุ๊ค (Notebook)

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5

คอมพิวเตอร์ยุคเครือข่าย
เมื่อไมโครคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถสูงขึ้น ทำงานได้เร็ว การแสดงผล การจัดการข้อมูล สามารถประมวลได้ครั้งละมาก ๆ จึงทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานหลายงานพร้อมกัน (multitasking) ขณะเดียวกันก็มีการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในองค์การโดยใช้เครือข่ายท้องถิ่นที่เรียกว่า Local Area Network : LAN เมื่อเชื่อมหลายๆ กลุ่มขององค์การเข้าด้วยกันเกิดเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์การ เรียกว่า อินทราเน็ต และหากนำเครือข่ายขององค์การเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายสากลที่ต่อเชื่อมกันทั่วโลก เรียกว่า อินเตอร์เน็ต (internet)
คอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันจึงเป็นคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกัน ทำงานร่วมกัน ส่งเอกสารข้อความระหว่างกัน สามารถประมวลผลรูปภาพ เสียง และวิดีทัศน์ ไมโครคอมพิวเตอร์ในยุคนี้จึงทำงานกับสื่อหลายชนิดที่เรียกว่าสื่อประสม (Multimedia) และ คอมพิวเตอรในยุคที่ห้า นี้เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง
ค.ศ. 1981 คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 นี้นอกจากจะมีการสร้าง The IBM PC และมีการสร้าง Windows เพื่อสะดวกแก่การใช้งานมากยิ่งขึ้น
ค.ศ. 1985 มีการพัฒนา Microsoft Windows ของบริษัท Microsoft โดยมี Bill Gates เป็นกรรมการผู้จัดการ จนพัฒนามาเป็น Window3.0, Window3.11 และมาถึง Window95 และ Window 98 จนถึงการพัฒนา วินโดว์ขึ้นเป็นลำดับต่อไปในปัจจุบัน
Bill Gate
นอกจาก Windows แล้ว ยังได้มีการสร้างโปรแกรมในส่วนของการใช้งานจริง อันได้แก่ Microsoft Office95, Microsoft Office97 และ Microsoft Office 2000 ด้วย
การพัฒนาในยุคที่ 5 นี้ เน้นหนักในด้านการพัฒนาแนวความคิดมากกว่าอุปกรณ์ประกอบในเครื่องคอมพิวเตอร์ อันได้แก่แนวความคิดในรูปของ “ปัญญาประดิษฐ์” (Artificial Intelligence: AI) ระบบผู้เชี่ยวชาญ (expert system) และ ระบบเครือข่าย (Computer Network) ซึ่งในแนวความคิดทั้ง 3 ที่กล่าวถึงนี้ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ด้วยตนเอง อย่างครอบคลุม และยังสามารถเชื่อมโยงกับเครื่องอื่นๆ ทำงานกันอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บุคคลสำคัญในวงการคอมพิวเตอร์

1.จอห์น เนเปียร์ (John Napeir)
2.เบลส ปาสคาล (Blase Pascal)
3.กอดฟริด ฟอนไลบ์นิช (Gottfried von Leibniz)
4.ชาร์ล แบบเบจ (Charles Bebbage)
5.เลดี้ ออกุสต้า เอด้า ไบรอน (Lady auqusta Ada Byron)
6.จอช บูล (George Boole)
7.เฮอแมน ฮอลเลอริท (Herman Hallerrith)

ให้นักเรียนค้นคว้าข้อมูล แล้วอธิบายว่าบุคคลสำคัญนี้ มีบทบาทอย่างไรต่อวงการคอมพิวเตอร์

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง

1.อธิบายความหมายคำว่า "คอมพิวเตอร์" ได้
2.อธิบายประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของคอมพิวเตอร์ได้
3.อธิบายความสำคัญของบุคคลในวงการคอมพิวเตอร์ได้

สาระสำคัญ

......คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการสารสนเทศ นักเรียนต้องเรียนรู้และใช้อย่างถูกวิธี จะช่วยให้นักเรียนทำงานได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ซึ่งเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของคอมพิวเตอร์ ..กว่าที่จะปรากฎเป็นคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน บุคคลที่มีความสำคัญต่อวงการคอมพิวเตอร์ได้มีการคิดค้น ประดิษฐ์และพัฒนามาโดยตลอด เราควรจะยกย่องบุคคลเหล่านี้ ซึ่งบุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งคอมพิวเตอร์คือ ชาร์ล แบบเบจ